อาจจะฟังดูวัตถุนิยมมากไปหน่อย แต่ ‘เงิน’
คือสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกของเรา เพราะก่อนที่เราจะสามารถได้มาซึ่งปัจจัยสี่
ที่มนุษย์จำเป็นต่อการดำรงชีวิต…เราก็ต้องมีเงินก่อน
สำหรับคนวัยทำงานทุกคน
ความรู้ด้านการเงินถือว่าเป็นสิ่งจำอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีที่น่าปวดหัว หรือเรื่องการเก็บออมเพื่อการเกษียณ
หากเป็นคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจ
แผนกการเงินการบัญชีก็เป็นแผนกที่บริษัทไหนก็ขาดไม่ได้
ในบทความนี้เรามาศึกษากันว่า การเงินคืออะไร มีอะไรบ้าง และการเงินในรูปแบบต่างๆสำคัญแค่ไหนการเงินคืออะไร [Finance]
การเงิน
หมายถึงกิจกรรมเกี่ยวกับการบริหารเงิน และระบบขั้นตอนการระดมทุน ซึ่งรวมถึง
การธนาคาร หนี้ เครดิต ตลาดหุ้น เงิน และการลงทุน
การเงินครอบคลุมถึงขั้นตอนการดูแล สร้าง และศึกษาเกี่ยวกับเงิน
เช่นกันเงินธุรกิจ และการเงินส่วนบุคคล
หากพูดถึงเรื่องการเงิน
คนทั่วไปก็อาจจะคิดถึงธนาคาร หรือบริษัทขายประกัน
คนที่ทำธุรกิจก็อาจจะคิดถึงตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์
คำว่าการเงินเป็นคำศัพท์ที่กว้างมาก
เป็นการรวมหัวข้อหลายอย่างตั้งแต่การบริหาร เศรษฐศาสตร์ การบัญชี
หรือแม้แต่คณิตศาสตร์ประยุกต์
ในส่วนก็การเงินส่วนบุคคล
การเงินก็รวมถึงการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ภาษี การเก็บออม
โดยเฉพาะการออมเพื่อการเกษียณ การลงทุนส่วนบุลคล
หรือแม้กระทั่งการบริหารหนี้ส่วนบุคคล
บางส่วนอาจจะฟังดูเข้าใจยากแต่ความรู้เรื่องการเงินก็เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่คนวัยทำงานต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ดี
การบริหารการเงิน – ประโยชน์และความสำคัญของการเงิน
หากถามว่า ‘เงิน’ สำคัญอย่างไร เราก็คงต้องย้อนกลับไปยุคสมัยที่ทุกคนไม่ได้ใช้เงินกันก่อน ในสมัยก่อนคนทั่วไปใช้วิธี ‘แลกเปลี่ยนสินค้า’ เพื่อความอยู่รอด แลกวัวกับผัก แลกผลไม้กับไข่ไก่ แลกรองเท้ากับการตัดผม เนื่องจากว่าทุกคนมี ‘สินค้า’ ไม่เหมือนกัน ทุกการแลกเปลี่ยนต้องมีการเจรจาต่อรองใหม่ตลอด ทุกการแลกเปลี่ยนต้องมาด้วยการ ‘ถกเถียง’ กันว่าสินค้านี้ราคาเท่า และ อะไรถึงจะมีคุณค่าที่เท่าเทียม
หากมนุษย์จะเก่งอะไรซักอย่าง
มนุษย์ก็คงเก่งที่การ ‘ทำอะไรให้ง่ายขึ้น’ เหล่ะครับ
เงินถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นภาษากลางของการแลกเปลี่ยนสินค้า
ทำให้ธุรกรรมต่างๆมีความเร็วมากขึ้น
(ลองคิดภาพคุณกำลังต่อคิวซื้อข้าวแล้วทุกคนต้องต่อรองกับแม่ค้า
เพื่อแลกนู่นแลกนี่ดู แค่คิดก็น่าหงุดหงิดแล้ว)
เงิน…ทำให้ทุกอย่างมีมูลค่าที่ชัดเจนมากขึ้น
ทำให้เรารู้ว่าน้ำเปล่ามีมูลค่า 10 บาท หนังสือหนึ่งเล่มมีมูลค่า 200 บาท
และบริษัทในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเรียกเงินว่า ‘ตัววัดค่าความน่าเชื่อถือของสินค้า’
แปลว่าถ้าคนทั่วไปพร้อมที่จะจ่ายใหเกับสินค้าหนึ่งชิ้นเป็นเงินจำนวนมาก…ก็เท่ากับว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่มี
‘ความน่าเชื่อถือ’
มูลค่าของเงินทำให้เรารู้ว่าพนักงานแต่ละคนควรจะมี
‘ค่าจ้าง’ เท่าไร และ ‘ความน่าเชื่อถือ’ ของเงินทำให้เกิดการ ‘กู้ยืม’
จนทำให้เกิดสินค้าการเงินต่างๆ อย่าง เงินกู้ บัตรเครดิต และ ประกัน
ถ้าเรารู้เรื่องประโยชน์และความสำคัญของการเงินแล้วรอมาดูบทบาทของการเงินส่วนบุคคลการเงินสำหรับธุรกิจกันบ้างครับ
การเงินส่วนบุคคล – การวางแผนการเงิน [Personal Finance]
การเงินส่วนบุคคล หมายถึงการบริหารเงิน การเก็บออมเงิน และการลงทุนสำหรับบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ประกัน การลงทุน เงินกู้ เงินเกษียณ ภาษี การธนาคาร การตั้งงบ และ อสังหาริมทรัพย์ คำว่าการเงินส่วนบุคคลมักหมายถึงบริษัทการเงินที่บริหารและให้คำแนะนำเรื่องการเงินสำหรับบุคคลทั่วไป
โดยทั่วไปแล้ว
การเงินส่วนบุคคลคือเครื่องมือที่จะช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถบรรลุเป้าหมายการเงินส่วนตัวได้
เช่นกันรวมถึงเป้าหมายการเงินระยะสั้นและเป้าหมายการเงินระยะยาว
ทุกคนมีรายได้ ค่าใช้จ่าย และความรู้ด้านการเงินไม่เท่ากัน
ซึ่งก็เป็นส่วนสำคัญของบริการทางด้านการเงินส่วนบุคคล
เพราะการที่จะตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของแต่ละคนนั้น
ต้องใช้ความรู้ในระดับสูง
‘การวิเคราะห์’ และ ‘จัดอันดับความสำคัญ’
เป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเงินส่วนบุคคล
ถึงแม้ว่าบริการด้านการเงินและที่ปรึกษาด้านการเงินจะมีเยอะ
ความรับผิดชอบและการตัดสินใจทางด้านการเงินก็ควรอยู่กับเจ้าของเงิน
ซึ่งเจ้าของเงินก็มีหน้าที่ที่จะหา ‘ความรู้ทางการเงิน’ ให้ตัวเอง
เพื่อป้องกันแยกแยะระหว่างคำแนะนำทางการเงินที่ดีและไม่ดี
‘วินัย’
ก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่สำคัญสำหรับการเงินส่วนบุคคล
โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงานและมีเงินเดือนเป็นครั้งแรก
วินัยในการลงทุน การเก็บออม
และการบริหารหนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกบังคับสอนในโรงเรียน
แต่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับทุกคน
ความแตกต่างระหว่างคนที่เกษียณอย่างสบายและคนที่เกษียณอย่างลำบาก
อาจจะอยู่แค่ว่าเราออมเงินไว้เยอะแค่ไหนในระหว่างที่ที่เราเพิ่งเริ่มทำงาน
การเงินธุรกิจ – หน้าที่สําคัญของการเงินบริษัท [Corporate Finance]
การเงินธุรกิจ
หมายถึงการเงินที่ดูเกี่ยวกับการหาเงินลงทุน การจัดวางจะใช้งานในบริษัท
การบริหารเงินเพื่อทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆเพื่อบริหารเงินและลดความเสี่ยง
ถ้าเรามองว่าเป้าหมายของธุรกิจส่วนมากคือการสร้างรายได้ทำกำไร
การเงินธุรกิจก็คือเครื่องมือที่ตรงต่อเป้าหมายด้านการทำกำไรมากที่สุดแล้ว
ในกรณีที่บริษัทมีผู้ถือหุ้น หรือผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์ต่อการลงทุน
หนึ่งในหน้าที่ของคนบริหารการเงินธุรกิจก็คือการสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับคนเหล่านั้น
ซึ่งอาจจะมาในส่วนของ ‘เงินปันผล’ (dividend) เป็นต้น
หน้าที่หลักๆของการเงินธุรกิจมีอยู่ 3 อย่างครับ
- ลงทุน (Investment) – ทุกธุรกิจต้องมีการบริหารทุนและทรัพยากรของตัวเอง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุด แต่ละธุรกิจมีจุดแข็งจุดอ่อน และลำดับการลงทุนที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหน้าที่ของการเงินธุรกิจส่วนนี้ก็คือการหาวิธีการลงทุนทั้งในและนอกธุรกิจตัวเองให้ดีที่สุด
- ระดมทุน (Fund Raising) – หลายครั้งที่ธุรกิจต้องการระดมทุนเพื่อทำให้สามารถเติบโตหรือว่าปฏิบัติการต่อไปได้ การระดมทุนที่คนคุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือการกู้ และการระดมทุนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ส่วนการลงทุนสำหรับบริษัทเปิดใหม่แนว startup ที่ยังไม่มีทรัพย์สินหรือรายได้เพียงพอก็คือการ ‘ขายหุ้น’ ให้นักลงทุนผู้อื่น (Ventura Capital)
- เงินหมุน (Cash Flow) – เงินหมุนก็เปรียบเหมือนสายเลือดของธุรกิจ บางธุรกิจไม่มีกำไรแต่ก็ยังสามารถบริหารต่อไม่ได้เพราะว่ายังมีเงินหมุนอยู่ สร้างธุรกิจกำไรเยอะ เนื่องจากขายเป็นเครดิตก็เลยทำให้บริหารงานติดขัด เพราะไม่มีเงินหมุน ธุรกิจที่สามารถบริหารเงินหมุนได้ดีก็จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่างของการบริหารเงินหมุนได้แก่ การหาเงินสดเพิ่ม การขอเพิ่มเครดิต หรือการสร้างหนี้ระยะสั้น
หน้าที่ของการบริหารการเงินในแต่ละบริษัทอาจจะไม่เหมือนกัน
บริษัทซื้อมาขายไปก็อาจจะมีการลงทุนทางด้านสต๊อกด้านคลังสินค้าเยอะทำให้ส่วนการเงินต้องจับตาดูส่วนนี้เป็นพิเศษ
แต่สำหรับบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ไอทีที่มีการลงทุนส่วนมากเป็นทรัพยากรมนุษย์
การบริหารการเงินก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ธุรกิจบริหารด้านการเงิน (Financial Services)
ธุรกิจบริหารด้านการเงิน
คือธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวกับการเงินต่างๆ รวมถึงการบริหารเงิน
บัตรเครดิต ประกัน บริษัทบัญชี การซื้อขายหุ้น การลงทุนต่างๆ ต้น
โดยที่บริษัทการเงินพรุ่งนี้ก็มีอยู่หลายแห่งทั่วโลก
แต่จุดการเงินใหญ่ๆได้แก่ ลอนดอน นิวยอร์ค โตเกียว สิงคโปร์ ฮ่องกง
เราดูเรื่องการเงินส่วนบุคคล และการบริหารการเงินธุรกิจแล้ว ในส่วนนี้เรามาดูธุรกิจบริหารด้านการเงินกันดีกว่าครับ
- การธนาคาร – หากพูดถึงการบริการด้านการเงิน ‘ธนาคาร’ ที่มีทั้งการถอนเงินฝากเงิน เงินกู้และบัตรเครดิตก็เป็นสิ่งที่คนคิดถึงมากที่สุด รายได้หลักของธนาคารมาจาก ‘ดอกเบี้ย’ เช่นจากการกู้เงินหรือค่าปรับจากการจ่ายบัตรเครดิตสาย วาณิชธนกิจ หรือ investment bank คือบริการการเงินสำหรับลูกค้ามูลค่าสูง เป็นการให้บริการด้านการระดมทุน คำแนะนำด้านการเงินและภาษี และ ช่วยด้านข้อตกลงทางธุรกิจ
- การลงทุน – บุคคลทั่วไปสามารถลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตรต่างๆ บริษัทที่ช่วยด้านการลงทุนได้ค่าทำเนียมจากการลงทุน หน้าที่ของธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนก็คือการช่วยเพิ่มผลการลงทุนให้ลูกค้าในระยะความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้ ในยุคสมัยใหม่ บริษัทลงทุนก็เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น
- ประกัน – ประกันเป็นหนึ่งในธุรกิจบริหารด้านการเงิน เพราะการเงินส่วนประกันครอบคลุมถึงหลายอย่างต้องแต่ความปลอดภัย สุขภาพ ทรัพสินท์และอสังหาทรัพย์ กฎหมาย และอื่นๆ หน้าที่ส่วนประกันรวมถึงผู้ประเมินความเสี่ยงและให้คำแนะนำเรื่องการซื้อประกัน และผู้ที่ขายประกันเพื่อลดความเสี่ยงให้กับผู้ซื้อ
- ภาษีและการบัญชี – นอกจากบริการด้านนการบัญชีและภาษีแล้ว ส่วนนี้รวมถึงบริการด้านการเงินที่คนทั่วไปอาจจะคิดไม่ถึงเช่น บริษัทที่ช่วยในการทำธุรกรรมด้านการโอนเงินอย่าง Visa Mastercard ถึงบริการแลกเปลี่ยนค่าเงินต่างประเทศ อย่าง Superrich
บางบริษัท อย่างธนาคารใหญ่ๆก็จะให้บริการหลายอย่างตั้งแต่การธนาคารทั่วไป ไปถึงการลงทุน การขายประกัน และการแลกเปลี่ยนค่าเงินด้วย
การเงิน-เศรษฐศาสตร์ (Finance and Economics)
การเงินและเศษฐศาสตร์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาขาของการทำความเข้าใจโลกการเงิน สาเหตุที่การตัดสินใจด้านการลงทุนต่างๆนั้นยากก็เพราะว่า ‘ตัวแปร’ ที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนของการลงทุนมีเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น เราควรลงทุนเมื่อไร ความเสี่ยงคืออะไร ต้นทุนค่าเสียโอกาสมีอะไรบ้าง ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนในธุรกิจหรือในตลาดหลักทรัพย์ เราก็ยิ่งต้องทำความเข้าใจบริบทของธุรกิจแต่ละประเภทอีกด้วย
มูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money) คือหลักการพื้นฐานของเศรษฐศาสตรการเงิน
หลักการง่ายของมูลค่าเงินตามเวลาก็คือ มูลค่าของเงิน 1
บาทที่เราได้มาวันนี้มีค่าไม่เท่ากับมูลค่าเงิน 1 บาทที่เราจะได้มาในอนาคต
เช่น 10 ปีข้างหน้า
ด้วยปัจจัยหลายอย่างเช่น ค่าเงินลอยตัว
ดอกเบี้ยเงินฝาก
การที่เราได้เงินสดมาในตอนนี้ย่อมสามารถทำให้เกิดโอกาสมากกว่า
การที่เราได้เงินในอีก 10 ปีข้างหน้า
ก๋วยเตี๋ยวเมื่อสิบปีที่แล้วอาจจะมีราคา 10-20 บาท แต่ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งจาก ณ
ปัจจุบัน มีราคา 40-50 บาทเป็นต้น
ความเสี่ยงและผลตอบแทน (Risk and Rewards) เป็นอีกหนึ่งหลักการด้านการเงินที่คนใช้บ่อยในเศรษฐศาสตร์เช่นกัน
การลงทุนแต่ละอย่างมีผลตอบแทนและความเสี่ยงไม่เท่ากับ
หากเราเลือกลงทุนทำธุรกิจโดยที่เราได้กำไรแค่ 1-2% ต่อปี
และธุรกิจไม่มีการเติบโตเลย
การลงทุนที่เสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้ผลตอบแทนเท่ากันอย่างการนำเงินไปฝากธนาคารก็คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การทำกำไรจากสองตลาด (Arbitrage) คือการทำกำไรจากสินค้าชนิดเดียวกันแต่มีราคาขายไม่เท่ากันในตลาดสองประเภท
หลักการนี้คือหัวใจของการทำธุรกิจและการลงทุนทุกอย่าง
เช่นเราซื้อน้ำเปล่าในราคาขายส่งมาขวดละ 5 บาทแต่ขายในร้านขายปลีกในราคา 10
บาท เป็นต้น
การทำกำไรจากสองตลาดอาจจะฟังดูง่าย
แต่ในโลกที่ทุกคนมีข้อมูลตลาดและโอกาสไม่เท่าเทียมกัน
คนบางคนก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือโอกาสที่นักลงทุนหรือนักธุรกิจแต่ละคนมีได้
ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ ‘โลกออนไลน์’ ทำนักธุรกิจหลายคนปวดหัวมาก
เพราะลูกค้าเริ่มมีข้อมูลและโอกาสหลากหลายขึ้น
หลักการของการเงินและเศรษฐศาสตร์มีอีกเยอะครับ
แต่ในส่วนนี้ผมขอเขียนแค่เบื้องต้นก่อน หากใครสนใจก็คอมเม้นมาได้
เพราะผมคงเขียนบทความแยกมาอีกที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น